สมัยอาณาจักรบาบิโลนเก่า (2,000-1,600 ปีก่อนคริสต์ศักราช)
หลังจากพวกสุเมเรียสิ้นอำนาจปกครองแล้ว ดินแดนเมโสโปเตเมียเข้าสู่ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงผ่านความรุ่งเรื่องตอนใต้ย้ายไปยังอัคคัดซึ่งอยู่ตอนเหนือ โดยมีชนเผ่าอะมอไรต์ (Amorite) เป็นผู้นำ พวกอะมอไรต์ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในอัคคัดเมื่อราว 2,000 ปีก่อนคริสต์ศักราชและอีกสองศตวรรษครึ่งต่อมาก็สามารถพิชิตดินแดนทั้งหมดของพวกสุเมเรีย พวกอะมอไรต์มีศูนย์อำนาจปกครองอยู่ที่กรุงบาบิโลน จึงถูกเรียกว่า” พวกบาบิโลน” และใช้ภาษาในตระกูลเซมิติก
|
อาณาจักรบาบิโลนเก่า
ผลงานที่สำคัญของอาณาจักรบาบิโลนเก่า
ผลงานที่สำคัญของอาณาจักรบาบิโลน ได้แก่ประมวลกฎหมายฮัมมูราบี (The Code of Hammurabi) โดยพระเจ้า (Hammurabi, 1,792-1,745 ปีก่อนคริสต์ศักราช) หลักการของกฎหมายมีรากฐานมาจากกฎหมายของพวกสุเมเรีย แต่ได้จัดให้เป็นระบบ เป็นการสร้างความยุติธรรมให้แก่สังคมประมวลกฎหมายของฮัมมูราบียึดถือหลัก “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” ในการลงโทษ กล่าวคือให้ใช้การทดแทนความผิดด้วยการกระทำอย่างเดียวกัน กฎหมายฮัมมูราบีจารึกในศิลาจารึกสีดำทรงกระบอก สูง 2.40 เมตร บนยอดหัวเสาสลักรูปเทพเจ้ามาร์ดุก (Marduk) กำลังประทานกฎหมายให้แก่พระเจ้าฮัมมูราบี ประมวลกฎหมายมีจำนวนกว่า 30 แถวรวมกัน 300 มาตรา
ประมวลกฎหมายฮัมมูราบีถือเป็นการรวบรวมกฎหมายใหม่ ที่เรียกว่า มิชารัม (Misharum) แปลว่า การทำให้ถูกต้อง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขความอยุติธรรมต่างๆของกฎหมายเผ่า แม้จะได้ชื่อว่าเป็นกฎหมาย “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” แต่ก็มีบทลงโทษชนชั้นที่แตกต่างกันดังปรากฏข้อความว่า “ถ้าเจ้าหน้าที่ที่ทำลายลูกตาของสมาชิกชนชั้นขุนนาง เขาเหล่านั้นสามารถทำลายลูกตาของเจ้าหน้าที่ได้ถ้าเขา(เจ้าหน้าที่)ทำลายลูกตาของสามัญชนหรือทำให้กระดูกหัก เขาผู้นั้นต้องจ่ายเงินจำนวนหนึ่งเหรียญมินา” อย่างไรก็ดีประมวลกฎหมายฮัมมูราบีนับว่าสร้างระเบียบวินัยขึ้นในสมัยสังคมและขจัดความอยุติธรรมต่างๆรวมทั้งยังเป็นกฎหมายฉบับแรกที่คำนึงถึงสิทธิสตรีให้สิทธิเธอในการฟ้องหย่าสามีได้ นอกจากนี้อาณาจักรบาบิโลนเก่ายังมีลักษณะเป็น “รัฐสวัสดิการ” ที่รัฐดูแลพลเมืองอย่างใกล้ชิด เช่น ชดใช้ทรัพย์สินให้แก่เจ้าทรัพย์หากจับคนร้ายไม่ได้ ควบคุมเศรษฐกิจมิให้พ่อค้าเอาเปรียบประชาชน กำหนดราคาสินค้าและค่ารักษาพยาบาล รวมทั้งค่าก่อสร้าง ห้ามคิดดอกเบี้ยเกินร้อยละยี่สิบ ส่วนลูกหนี้ที่ไม่มีเงินจ่ายคืนมีโทษเป็นทาสไม่เกิน3ปี ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าแนวคิดที่จะให้ความยุติธรรมแก่ผู้คนในสังคมในสังคมในกฎหมายฮัมมูราบีได้เป็นรากฐานของเจตนารมณ์ของกฎหมายในประเทศต่างๆในปัจจุบัน และมาตราหลายมาตราโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับครอบครัวก็เป็นที่มาของกฎหมายอิสลามที่ใช้กันอย่างกว้างขวางด้วย อย่างไรก็ตามฝ่ายปกครองมีอำนาจได้เพียงไม่นานเพราะพวกนักบวชกลับมีอิทธิพลเช่นเดิม อาณาจักรบาบิโลนเก่าจึงเริ่มอ่อนแอ และถูกพวกฮิตไตต์(Hittite)เผ่าอินโด-ยูโรเปียน จากตอนเหนือเข้าปล้นสะดมเมื่อ 1,595 ปีก่อนคริสต์ศักราช พวกฮิตไตต์เป็นนักรบ ใช้อาวุธทำด้วยเหล็ก(พวกฮิตไตต์เป็นชนชาติแรกๆที่จัดทำโรงงานผลิตอาวุธเหล็กก่อนที่จะมีการใช้กันอย่างแพร่หลายใน 1,200 ปีก่อนคริสต์ศักราชและใช้รถศึกเทียมม้าแทนรถศึกเทียมลาของพวกซูเมเรีย แต่หลังจากมีชัยชนะและทำลายอาณาจักรบาบิโลนเก่าแล้วก็เดินทางกลับปล่อยให้พวกคัสไซต์(Kassite) จากเอเชียกลางเข้ายึดครองดินแดน นับจากนั้นเรื่องราวของเมโสโปเตเมียก็เลือนรางไปเกือบ 3 ศัตวรรษ จนได้ชื่อว่าเป็น “ยุคมืด” จนกระทั่งพวกอัสซีเรีย(Assyrian)ซึ่งเป็นชนเผ่าที่พูดภาษาเซมิติกเข้ารุกรานเมื่อประมาณ 1,300 ปีก่อนคริสต์ศักราชและค่อยๆแผ่อำนาจไปทั่วดินแดนเมโสโปเตเมีย
|